ตำนานเจ้าแม่กวนอิม ตอนที่ ๖ โศลกปริศนาจากหนุ่มลึกลับ และการเริ่มศึกษาพระธรรมของพระธิดาเมี่ยวซ่าน
ตำนานเจ้าแม่กวนอิม
ตอนที่ ๖
โศลก ปริศนาจากหนุ่มลึกลับ และการเริ่มศึกษาพระธรรมของพระธิดาเมี่ยวซ่าน
พระ นางทิ้งไว้แต่คำตรัสสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระธิดาสามว่า "ลูกรัก แม่คงมิได้อยู่เห็นเจ้าเติบใหญ่มีครอบครัวที่เป็นสุข แม่เสียใจเหลือเกิน ต่อไปนี้เจ้าจงทำตามพระทัยเสด็จพ่อ อย่ายึดถือความเชื่อของตนอีกเพราะจะทำให้เสด็จพ่อเสียพระทัย" ขาดคำพระนางก็ทรงมีอาการกระตุกและสิ้นพระชนม์ พระธิดาองค์ใหญ่และองค์รองกรรแสงอย่างโศกเศร้า ส่วนพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นเสียพระทัยจนหมดสติลง เหล่านางกำนัลต้องพยาบาลกันอลหม่าน
การจากไปของพระมเหสีอันเป็นที่ รักยิ่งของพระสวามี พระธิดาทั้งสาม และเหล่าชาวเมือง ทำให้ทั้งอาณาจักรซิงหลิงตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างเหลือประมาณ โดยเฉพาะพระธิดาเมี่ยวซ่านที่แม้นมีพระชันษาเพียง ๗ ปี แต่กลับต้องสูญเสียพระมารดาที่รักยิ่งไปต่อหน้าพระพักตร์
ฝ่ายพระ เจ้าเมี่ยวจวงนั้น เสียพระทัยจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด เฝ้าแต่ทอดพระเนตรกระดาษแผ่นหนึ่งที่ทหารนำมาถวาย โดยกล่าวว่ากระดาษแผ่นนี้ ตกอยู่ในที่คุมขังโล้วนาปู้เจี้ยน ภายในกระดาษมีอักษรเขียนเป็นโศลก (โศลก หมายถึง คำขับร้องสรรเสริญ) สี่บรรทัดทิ้งไว้ว่า
"แต่เดิมธรรมอัน วิเศษมีหกสาย
ผลที่สุดความดีฉายเหนือยิ่งใหญ่
มองความ ว่าง ฤา สีหน้ากิเลสไร้
เสาะแสวงแต่เสียงไห้ปริเวทนาการ"
พระ เจ้าเมี่ยวจวงหักห้ามความเสียใจ พิจารณาข้อความในโศลกนั้น ๆ จนตีความได้ว่า ธรรมอันวิเศษ หมายถึง เมี่ยว บรรทัดที่สองปรากฏคำว่า ความ ดี หมายถึง ซ่าน ส่วนในบรรทัดที่สามมีคำว่า มอง หมายถึง กวน และต่อมามีคำว่า เสียง หมายถึง อิม รวมความแล้วคือ เมี่ยวซ่านกวนอิม แต่จะแฝงความนัยสื่อถึงสิ่งใดนั้นพระเจ้าเมี่ยวจวงมิอาจรู้ได้เลย
การหายตัวไปของนักโทษโล้วนาปู้เจี้ยนและการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีได้รับการ กล่าวขานไปทั่วเมือง บ้างก็ว่าชายลึกลับเป็นพุทธเทวะแปลงมา เพราะแม้นเครื่องจองจำพันธนาการตั้งแต่คอจรดเท้าก็มิอาจกักขังเขาไว้ได้ บ้างก็ว่าพระนางเป้าเต๋อสิ้นเพราะพระเจ้าเมี่ยวจวงสั่งประหารโล้วนาปู้เจี้ยน ใครเลยจะทราบว่าพระเจ้าเมี่ยวจวงเสียพระทัยกับการกระทำที่มิอาจ ย้อนคืนของพระองค์ยิ่งนัก
เจ้าแม่กวนอิม ปางประทานพร ยืนประทับนิ่ง เนื้อโลหะสีทอง
ประดิษฐานอยู่ ณ โรงพยาบาลเทียนฟ้า
ตั้งอยู่ริมถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
ฝ่ายพระธิดา เมี่ยวซ่านนั้นเล็งเห็นว่าความทุกข์และความตายไม่มีใครหนีพ้นได้ อีกทั้งตนต้องอกตัญญูยิ่งนักเมื่อยังมิได้ตอบแทนคุณพระมารดา ทางเดียวที่ เราจะบรรเทากรรมนี้ได้คือสละกายแห่งปุถุชนสู่หนทางแห่งพุทธธรรม จากวันนั้นเป็นต้นมาพระธิดาเมี่ยวซ่านทรงท่องภาวนาพระสูตรบำเพ็ญตน พร้อมกับพระน้านางผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของมเหสีเป้าเต๋อและเป็นพี่เลี้ยงของพระธิดาสามอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา
ความ ตั้งมั่นของพระธิดาเมี่ยวซ่าน แม้พระเจ้าเมี่ยวจวงก็มิอาจทัดทานได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังทรงเสียพระทัยที่พระมเหสีจากไป และเห็นว่าการท่องบ่นพระสูตรนั้นเป็นเรื่องน่ารำคาญก็จริง แต่ย่อมดีกว่าการออกไปช่วยมดหรือจั่กจั่นจนเจ็บตัวปางตายยิ่งนัก
ทว่า ในใจจริงของพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นมุ่งหวังที่จะเข้าเป็นพุทธสาวิกา คือออกบวชเป็นภิกษุณีเพื่อบำเพ็ญธรรมนสำเร็จสมบูรณ์ แล้วจึงจะโปรดบรรดาสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์เข็ญ ชาวโลกจักได้พบความสุขอันแท้จริง
คืน หนึ่ง ขณะพระธิดาเมี่ยวซ่านกำลังบรรทมครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนพระที่นั่ง พลันก็มีแสงสว่างโพลงเจิดจ้าขึ้นทั่วตำหนัก ตรงกลางแสงนั้นปรากฏร่างของพระพุทธองค์ พระวรกายสีทองเปล่งรัศมีโดยรอบ ประทับยืนอยู่กลางดอกบัว พระธิดาเมี่ยวซ่านรีบทรุดกายลงกราบ และอ้อนวอนให้ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องให้
พระพุทธองค์ตรัสว่า
สังขารแล ทุกข์ไม่เที่ยง ผู้รู้แจ้งสำเร็จจะทำใจให้เข้มแข็งขจัดทุกข์ได้ที่สุด จะเป็นผู้บริสุทธิ์รู้แจ้งด้วยตนเองเมื่อถึงเวลา
พระธิดาถามว่าตนจะสำเร็จเป็นผู้วิเศษเมื่อใด
จึงได้รับคำตอบว่า ในไม่ช้า นี้ เมื่อเจ้าได้ดอกบัวแห่งเขาซีมี่ซานและแจกันหยกขาวที่มีน้ำสุธาทิพย์โดยมีผู้มอบให้ จงจำไว้ให้ดี ตรัสจบก็ทรงหายวับไปพร้อมแสงจ้าที่ดับวูบลง
นับ จากวันนั้น พระธิดาเมี่ยวซ่านยิ่งทรงมุ่งมั่นศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎก ละวางสิ่งบันเทิงจนหมดสิ้น เพื่ออุทิศเวลาบำเพ็ญภาวนาอย่างจริงจัง จนแตกฉานในพระพุทธธรรม
วันคืนล่วงเลยไปจากพระธิดาน้อยได้เจริญวัย เป็นสาวงามสะพรั่งมีพระชนมายุครบ ๑๖ พรรษา และยังคงฝักไฝ่ในทางธรรมเสมอมา ท่ามกลางความไม่พอพระทัยของพระราชบิดาและความริษยาของพระพี่นางทั้งสอง จะมีก็แต่พระน้านางเพียงองค์เดียวที่คอยดูแลและสนับสนุนให้พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่เรื่อยมา
จบตอนที่ ๖
ติดตามต่อตอน ที่ ๗ การแต่งงาน และการรับบทลงโทษแรก
พระ นางทิ้งไว้แต่คำตรัสสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายต่อพระธิดาสามว่า "ลูกรัก แม่คงมิได้อยู่เห็นเจ้าเติบใหญ่มีครอบครัวที่เป็นสุข แม่เสียใจเหลือเกิน ต่อไปนี้เจ้าจงทำตามพระทัยเสด็จพ่อ อย่ายึดถือความเชื่อของตนอีกเพราะจะทำให้เสด็จพ่อเสียพระทัย" ขาดคำพระนางก็ทรงมีอาการกระตุกและสิ้นพระชนม์ พระธิดาองค์ใหญ่และองค์รองกรรแสงอย่างโศกเศร้า ส่วนพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นเสียพระทัยจนหมดสติลง เหล่านางกำนัลต้องพยาบาลกันอลหม่าน
การจากไปของพระมเหสีอันเป็นที่ รักยิ่งของพระสวามี พระธิดาทั้งสาม และเหล่าชาวเมือง ทำให้ทั้งอาณาจักรซิงหลิงตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างเหลือประมาณ โดยเฉพาะพระธิดาเมี่ยวซ่านที่แม้นมีพระชันษาเพียง ๗ ปี แต่กลับต้องสูญเสียพระมารดาที่รักยิ่งไปต่อหน้าพระพักตร์
ฝ่ายพระ เจ้าเมี่ยวจวงนั้น เสียพระทัยจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด เฝ้าแต่ทอดพระเนตรกระดาษแผ่นหนึ่งที่ทหารนำมาถวาย โดยกล่าวว่ากระดาษแผ่นนี้ ตกอยู่ในที่คุมขังโล้วนาปู้เจี้ยน ภายในกระดาษมีอักษรเขียนเป็นโศลก (โศลก หมายถึง คำขับร้องสรรเสริญ) สี่บรรทัดทิ้งไว้ว่า
"แต่เดิมธรรมอัน วิเศษมีหกสาย
ผลที่สุดความดีฉายเหนือยิ่งใหญ่
มองความ ว่าง ฤา สีหน้ากิเลสไร้
เสาะแสวงแต่เสียงไห้ปริเวทนาการ"
พระ เจ้าเมี่ยวจวงหักห้ามความเสียใจ พิจารณาข้อความในโศลกนั้น ๆ จนตีความได้ว่า ธรรมอันวิเศษ หมายถึง เมี่ยว บรรทัดที่สองปรากฏคำว่า ความ ดี หมายถึง ซ่าน ส่วนในบรรทัดที่สามมีคำว่า มอง หมายถึง กวน และต่อมามีคำว่า เสียง หมายถึง อิม รวมความแล้วคือ เมี่ยวซ่านกวนอิม แต่จะแฝงความนัยสื่อถึงสิ่งใดนั้นพระเจ้าเมี่ยวจวงมิอาจรู้ได้เลย
การหายตัวไปของนักโทษโล้วนาปู้เจี้ยนและการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีได้รับการ กล่าวขานไปทั่วเมือง บ้างก็ว่าชายลึกลับเป็นพุทธเทวะแปลงมา เพราะแม้นเครื่องจองจำพันธนาการตั้งแต่คอจรดเท้าก็มิอาจกักขังเขาไว้ได้ บ้างก็ว่าพระนางเป้าเต๋อสิ้นเพราะพระเจ้าเมี่ยวจวงสั่งประหารโล้วนาปู้เจี้ยน ใครเลยจะทราบว่าพระเจ้าเมี่ยวจวงเสียพระทัยกับการกระทำที่มิอาจ ย้อนคืนของพระองค์ยิ่งนัก
ประดิษฐานอยู่ ณ โรงพยาบาลเทียนฟ้า
ตั้งอยู่ริมถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
ฝ่ายพระธิดา เมี่ยวซ่านนั้นเล็งเห็นว่าความทุกข์และความตายไม่มีใครหนีพ้นได้ อีกทั้งตนต้องอกตัญญูยิ่งนักเมื่อยังมิได้ตอบแทนคุณพระมารดา ทางเดียวที่ เราจะบรรเทากรรมนี้ได้คือสละกายแห่งปุถุชนสู่หนทางแห่งพุทธธรรม จากวันนั้นเป็นต้นมาพระธิดาเมี่ยวซ่านทรงท่องภาวนาพระสูตรบำเพ็ญตน พร้อมกับพระน้านางผู้เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของมเหสีเป้าเต๋อและเป็นพี่เลี้ยงของพระธิดาสามอย่างเคร่งครัดเรื่อยมา
ความ ตั้งมั่นของพระธิดาเมี่ยวซ่าน แม้พระเจ้าเมี่ยวจวงก็มิอาจทัดทานได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังทรงเสียพระทัยที่พระมเหสีจากไป และเห็นว่าการท่องบ่นพระสูตรนั้นเป็นเรื่องน่ารำคาญก็จริง แต่ย่อมดีกว่าการออกไปช่วยมดหรือจั่กจั่นจนเจ็บตัวปางตายยิ่งนัก
ทว่า ในใจจริงของพระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นมุ่งหวังที่จะเข้าเป็นพุทธสาวิกา คือออกบวชเป็นภิกษุณีเพื่อบำเพ็ญธรรมนสำเร็จสมบูรณ์ แล้วจึงจะโปรดบรรดาสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์เข็ญ ชาวโลกจักได้พบความสุขอันแท้จริง
คืน หนึ่ง ขณะพระธิดาเมี่ยวซ่านกำลังบรรทมครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนพระที่นั่ง พลันก็มีแสงสว่างโพลงเจิดจ้าขึ้นทั่วตำหนัก ตรงกลางแสงนั้นปรากฏร่างของพระพุทธองค์ พระวรกายสีทองเปล่งรัศมีโดยรอบ ประทับยืนอยู่กลางดอกบัว พระธิดาเมี่ยวซ่านรีบทรุดกายลงกราบ และอ้อนวอนให้ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องให้
พระพุทธองค์ตรัสว่า
สังขารแล ทุกข์ไม่เที่ยง ผู้รู้แจ้งสำเร็จจะทำใจให้เข้มแข็งขจัดทุกข์ได้ที่สุด จะเป็นผู้บริสุทธิ์รู้แจ้งด้วยตนเองเมื่อถึงเวลา
พระธิดาถามว่าตนจะสำเร็จเป็นผู้วิเศษเมื่อใด
จึงได้รับคำตอบว่า ในไม่ช้า นี้ เมื่อเจ้าได้ดอกบัวแห่งเขาซีมี่ซานและแจกันหยกขาวที่มีน้ำสุธาทิพย์โดยมีผู้มอบให้ จงจำไว้ให้ดี ตรัสจบก็ทรงหายวับไปพร้อมแสงจ้าที่ดับวูบลง
นับ จากวันนั้น พระธิดาเมี่ยวซ่านยิ่งทรงมุ่งมั่นศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎก ละวางสิ่งบันเทิงจนหมดสิ้น เพื่ออุทิศเวลาบำเพ็ญภาวนาอย่างจริงจัง จนแตกฉานในพระพุทธธรรม
วันคืนล่วงเลยไปจากพระธิดาน้อยได้เจริญวัย เป็นสาวงามสะพรั่งมีพระชนมายุครบ ๑๖ พรรษา และยังคงฝักไฝ่ในทางธรรมเสมอมา ท่ามกลางความไม่พอพระทัยของพระราชบิดาและความริษยาของพระพี่นางทั้งสอง จะมีก็แต่พระน้านางเพียงองค์เดียวที่คอยดูแลและสนับสนุนให้พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่เรื่อยมา
จบตอนที่ ๖
ติดตามต่อตอน ที่ ๗ การแต่งงาน และการรับบทลงโทษแรก
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^