ตอน ที่ ๘
การรับบทลงโทษที่หนักขึ้น
นับจากวันนั้นพระธิดาเมี่ยวซ่านก็ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ไป ตักน้ำในบ่อมาใส่ตุ่มจนครบเจ็ดใบ แม้กายจะอ่อนเปลี้ยเหนื่อยล้าแต่ก็ต้องรีบมาติดไฟหุงข้าว ระหว่างรอข้าวสุกก็ออกไปผ่าฟืนจนครบตามพระบัญชา ซึ่งเป็นเวลาอาหารเย็นพอดี พระธิดาจึงต้องติดไฟหุงข้าวอีกครั้ง หน้าที่ในคราวนี้หนักหนาสาหัสยิ่งนัก แต่พระธิดาก็ไม่ปริปากบ่นหรือเรียกให้ใครช่วยเหลือเลย ในครัวกลับมีเสียงหัวเราะเยาะและคำเสียดสีถากถางให้ได้ยินอยู่เสมอ แต่พระธิดาเมี่ยวซ่านนั้นทรงอดทนอดกลั้นต่อการว่าร้ายต่าง ๆ มิเคยกริ้วหรือบริภาษให้คนเหล่านั้นหยุดพูดแม้แต่ครั้งเดียว
พระ ธิดาทำงานหนักตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้ยามค่ำก็ยังจุดตะเกียงเพื่อสานรองเท้าฟาง และสวดสาธยายพระสูตรไปด้วย จนดึกดื่นจึงเข้าบรรทมบนเตียงแคบ ๆ แข็งกระด้างในบ้านพักของพระองค์ วันต่อ ๆ มาก็ทรงปฏิบัติหน้าที่ทุกประการมิได้มีว่างเว้นเลย นานเข้าเสียงซุบซิบนินทาก็ค่อย ๆ หายไปและมีเสียงพร่ำบ่นสงสารพระองค์เข้ามาแทน แม้แต่นางกำนัลย่งเหลียน ผู้รายงานพฤติกรรมของพระธิดาต่อพระเจ้าเมี่ยวจวงยังอดเคารพรักในตัวพระธิดา ไม่ได้ นางและข้าราชบริพารในห้องครัวจึงช่วยกันวางแผนการบางอย่างเพื่อพระธิดาอัน เป็นที่รักของทุกคน
เช้า วันหนึ่ง พระธิดาลุกขึ้นจากเตียงไม้อันแข็งกระด้าง สลัดความอ่อนล้าทางกายทิ้งไป ตรงเข้าครัวไปหยิบถังเตรียมหาบน้ำ ปรากฏว่าเมื่อมองไปในตุ่มกลับพบว่ามีน้ำใสสะอาดอยู่เต็มปริ่มครบทั้งเจ็ดใบ ที่ท้ายครัวก็มีฟืนผ่าแล้วครบตามจำนวน อุทยานหลวงก็ได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดี พระธิดาเหลียวมองรอบกายด้วยความอัศจรรย์ใจ คงเหลือแต่งานจุดไฟหุงข้าวเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นงานที่เบาที่สุดในบรรดาหน้าที่ทั้งหมด พระธิดาจึงลงมือติดไฟทันที
เมื่อเหล่าพนักงานในครัวเข้ามาทำงานของตน ตามปกติแล้ว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงกล่าวว่า "พวกท่านได้ช่วยกันทำงานในส่วนของเรากันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เราเสียอีกกลับเป็นภาระให้พวกท่าน เราไม่มีทรัพย์รางวัลอันใดตอบแทนน้ำใจของพวกท่านเลย มีเพียงคำขอบคุณเท่านั้น ช่างน่าละอายนัก แต่ต่อจากนี้ไปขอให้พวกท่านได้ให้เราทำงานตามพระบัญชาเช่นเดิมเถิด เพราะเรามิอาจทนเห็นผู้เหนื่อยยากแทนตัวเราได้" ย่งเหลียนและทุก ๆ คนได้ฟังต่างรู้สึกรักและเห็นใจองค์หญิงเป็นเท่าทวี ย่งเหลียนทูลว่า "ไม่ใช่พวกหม่อมฉันหรอกเพคะ คงเป็นเทพมาช่วยเหลือเพราะหมายให้พระองค์ได้มีเวลาว่างสวดมนต์ปฏิบัติธรรม และบรรลุมรรคผลโดยเร็ว" พระธิดาจนใจด้วยเหตุผลจึงได้แต่น้อมกายคารวะทุกคนอย่างซาบซึ้ง
ทุก ๆ วันพระธิดาเมี่ยวซ่านตื่นขึ้นมา งานในครัวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ครั้นเสด็จไปทำความสะอาดอุทยานหลวงก็พบว่า ดอกไม้ ต้นไม้ และศาลาพักผ่อน ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี พระธิดาได้แต่น้อมคารวะผู้ที่กระทำหน้าที่แทนตนด้วยความลำบากใจและเกรงใจทุก ครั้งไป เมื่อใดที่ไต่ถามว่าผู้ใดปฏิบัติงานให้ตนก็จะได้รับคำปฏิเสธทุกครั้งว่าไม่ มีใครรู้เห็น ย่งเหลียนเองก็บ่ายเบี่ยงว่าอาจเป็นเพราะอำนาจของพระพุทธคุณมาช่วยพระธิดา อยู่เสมอ พระธิดาผู้ชาญฉลาดมีหรือจะไม่รู้ว่าทุกคนเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อพระองค์ ไปจากเดิม แล้วกลับหันมาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระแทน
เมื่อ ทรงมีเวลามากพอ พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงใช้เวลาสานรองเท้าฟางโดยไม่มีกำหนดจำนวนตามพระบัญชา พร้อมกับท่องภาวนาพระสูตรไปพร้อมกัน ทำให้ปฏิบัติธรรมได้มากขึ้น บางครั้งก็ทรงแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ที่ต้องถูกฆ่าเป็นอาหารในโรงครัววันละ หลายสิบตัว จำนวนบทสวดก็เพิ่มขึ้นหลายร้อยเที่ยว ในบางครั้งก็ทรงหาวิธีถนอมอาหารให้เก็บไว้ใช้ยามขาดแคลน เช่น ทรงให้เก็บข้าวที่เหลือเป็นจำนวนมากในแต่ละมื้อไว้ไปดงไฟไล่ความชื้น แล้วนำไปตากแดด เมื่อแห้งดีแล้วจึงเก็บใส่ถุงผ้าเตรียมไว้ใช้หรือแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ อีกทั้งพระองค์ยังสนิทสนมกับทุกคนโดยไม่เห็นแก่บรรดาศักดิ์ ทุกคนจึงรักและเคารพพระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นทวีคูณ
เจ้าแม่กวน อิมอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ของไต้หวัน
พระ ธิดาปฏิบัติหน้าที่ของตนทุกวันเรื่อยมาจนครบ ๑ ปี พระเจ้าเมี่ยวจวงก็ค่อย ๆ คลายโทสะลง วันหนึ่งพระองค์มีรับสั่งให้พระธิดาสามเข้าเฝ้ายังท้องพระโรง แล้วก็ได้ทอดพระเนตรเห็นพระธิดาผู้มีความตั้งมั่นอันแรงกล้า แม้ร่างกายจะซูบผอม เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่ความเด็ดเดี่ยวยังฉายเปี่ยมในแววตา พระเจ้าเมี่ยวจวงบริภาษด้วยเสียงอันดังว่า "เราซึ่งไม่เคยพ่ายแพ้ในการรบก็ต้องไม่พ่ายแพ้คนในครอบครัวเช่นกัน ! เมี่ยวซ่านเจ้าจงเลือกคู่ครองจากชายหนุ่มผู้มีสกุลหรือมีความรู้คนใดคนหนึ่ง มาสยุมพรด้วยเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป"
พระ ธิดาเมี่ยวซ่านไม่หวั่นไหวกับคำขู่กลับตรัสว่า "เสด็จพ่อ ลูกได้ตั้งมั่นแล้วว่าจะช่วยดับทุกข์ของผู้คนทั้งหลาย ไม่ฝักใฝ่ในทางโลก หากเลือกได้หม่อมฉันขอสละชีวิตทางโลก เพื่อบวชเป็นภิกษุณีบำเพ็ญธรรมค่อยปลดเปลื้องความทุกข์ของสัตว์โลกดีกว่าเพ คะ" พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงแผดสุรเสียงก้องท้องพระโรงว่า "ลูกไม่รักดี คิดจะบวชเป็นชีกระทำตนอ่อนแอหลบอยู่หลังพระคัมภีร์ เราผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินขอประกาศว่าไม่เคยมีลูกเช่นเจ้า จงไสหัวไปใส่เครื่องขาวแล้วออกไปให้พ้นราชวังของเราเดี๋ยวนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านถวายบังคมลาแทบพระบาทแสดงความคารวะสูงสุด จากนั้นจึงเดินทางออกจากวัง ท่ามกลางความเศร้าโศกของเหล่าข้าราชบริพาร โดยเฉพาะเหล่าคนครัวและชาวสวนที่อยู่ใกล้ชิดผูกพันกันมาแรมปี
จบตอน ที่ ๘
ติดตามต่อตอนที่ ๙ บททดสอบก่อนออกบวช
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^