ตอนที่ ๗
การแต่งงาน และการรับบทลงโทษแรก
กำเนิด เจ้าแม่กวนอิม เวอร์ชั่นเจ้าหย่าจือ
ครั้นพระธิดาทั้งสององค์ถึงวัยสมควรมีคู่ครอง พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงทรงจัดการอภิเษกพระธิดาองค์โตให้แก่ โฮเฟง แม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกร และให้พระธิดาองค์รองอภิเษกกับ เจาไคว บัณฑิตผู้มากปัญญา พระเจ้าเมี่ยวจวงนั้นทรงคิดว่าราชบุตรเขยทั้งสองนี้เป็นผู้เปี่ยมด้วยวิชา ความรู้ จึงทรงรักใคร่เอ็นดูเป็นอย่างดี หากแต่ทรงหารู้ไม่ว่า บุรุษทั้งสองนี้ทำดีเฉพาะยามอยู่หน้าพระพักตร์ลับหลังก็ชมแต่ระบำรำฟ้อน ปรนเปรอความสุขใส่ตนและภรรยาที่เป็นถึงองค์หญิงโฉมงานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
พระ เจ้าเมี่ยวจวงนั้นยังทรงแน่นแน่กับความคิดที่จะยกราชสมบัติให้แก่พระธิดาสาม ดังเช่นที่เคยตรัสหารือกับพระนางเป้าเต๋อตอนมีพระชนม์ชีพอยู่ ดังนั้นจึงต้องเฟ้นหาชายหนุ่มมาอภิเษกกับพระธิดาเมี่ยวซ่านเป็นพิเศษ โดยนำเรื่องนี้เข้าปรึกษาเหล่าเสานาบดีในท้องพระโรง เมื่อข่าวการอภิเษกแว่วมาถึงพระกรรณของพระธิดาเมี่ยวซ่านก็ทำให้พระองค์ ตกพระทัยยิ่ง
รีบเข้าเฝ้ากราบทูลต่อพระเจ้าเมี่ยวจวงทันที
"เสด็จพ่อเพคะ ลูกมิอาจสยุมพรได้ (สยุมพร หมายถึง แต่งงาน) เพราะลูกถือพรหมจรรย์ อุทิศตนเป็นพุทธสาวกของพระพุทธองค์แล้วเพคะ หากลูกผิดคำสัตย์ที่ให้ไว้จักตกนรกมิได้ผุดได้เกิดเพคะ"
พระ เจ้าเมี่ยวจวงได้ฟังก็ทรงพิโรธเป็นอย่างยิ่ง ตรัสลงโทษพระธิดาทันที "ลูกไม่รักดีเป็นองค์หญิงอยู่สุขสบายไม่ชอบ ริจะไปบวชชี ดูซิถ้าเจ้าไม่มีเวลาคิดเรื่องพระธรรมอะไรนั่นแล้วจะเป็นอย่างไร ข้าจะให้เจ้าลดบรรดาศักดิ์ลงไปทำงานหนักในอุทยานหลวง แม้นทหารรับใช้ก็ยังมียศสูงกว่าเจ้า ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ !" แม้พระน้านางจะขอร้องอย่างไร พระเจ้าเมี่ยวจวงก็ไม่ทรงลดโทษให้เลย พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงย้ายจากตำหนักมาอาศัยกระท่อมท้ายอุทยาน มีหน้าที่ตื่นแต่เช้าตรู่มารดน้ำต้นไม้ กวาดลาน เช็ดถูพระที่นั่งในศาลาหลวง
พื้นที่ในอุทยานั้นแสนกว้างใหญ่ แต่พระธิดาทรงทำงานหนักโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สองแขนและพระวรกายจึงอ่อนล้ายิ่งนัก
ฝ่ายพระเจ้าเมี่ยวจวงทรงให้นาง กำนัลผู้หนึ่งชื่อ ย่งเหลียน ติดตามดูพฤติกรรมของพระธิดาแล้วคอยรายงานว่าความลำบากที่ได้รับ ทำให้ทรงกลับใจได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใดย่งเหลียนก็นำความมานะอุตสาหะของพระธิดาไปกราบทูลพระเจ้าเมี่ยวจวงทุกครั้ง
หลายเดือนผ่านไปจนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของ พระเจ้าเมี่ยงจวง พระธิดาเมี่ยวซ่านเข้าเฝ้าถวายพระพรแต่เช้าตรู่ พระเจ้าเมี่ยวจวงเห็นสภาพทรุดโทรมของพระธิดาแล้วทรงอ่อนพระทัยลง ตรัสให้พระธิดาเปลี่ยนใจหาคู่สยุมพรโดยเร็ววันจะได้ไม่ลำบากกาย แต่ทว่าพระธิดากลับยืนกรานว่า การทำงานหนักทำให้จิตใจหนักแน่นและปลอด โปร่งอย่างที่สุด พระเจ้าเมี่ยวจวงพิโรธยิ่งตรัสว่า "ดี เป็นคนสวนยังไม่พอก็จงมาเป็นคนรับใช้ข้า พี่สาว และพี่เขยของเจ้าในวันเกิดข้านี่ล่ะ ไปจัดการปัดกวาดอุทยานแล้วตั้งเครื่องเสวยเดี๋ยวนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านรับพระบัญชามาทำความสะอาดและจัดเตรียมสถานที่ทันที
เมื่อ ขบวนเสด็จของพระเจ้าเมี่ยวจวงและสองพระธิดามาถึงก็ได้พบกับสถานที่อันรื่นรมย์ ทั้งไม้ดอกนานาพันธุ์ เครื่องเสวยเลิศรส หมู่นางระบำรำฟ้อนสวยงาม แต่พระธิดาสามกลับยืนอยู่ไกล ๆ มองตรงแน่วแน่ ไม่สบตาใคร เพราะเห็นว่าไม่ควรพบปะราชบุตรเขยซึ่งเป็นชาย ตามจารีตที่หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน พระพี่นางทั้งสองต่างเข้ายึดพระกรพระธิดา พูดจาหว่านล้อมให้มาเสพสุขด้วยกัน ดีกว่าอยู่ตัวคนเดียว พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงตรัสว่า "ทรัพย์นอกกายเหล่า นั้นทำให้ผู้คนแก่งแย่งจนเกิดสงครามกันมิใช่หรือ ลาภยศ สุข สรรเสริญ ล้วนทำให้คนลุ่มหลงอยู่ในห้วงอบายภูมิ พุทธธรรมเท่านั้นจะฉุดรั้งและกำจัดมารได้ อีกทั้งความเมตตาอันแผ่ออกไปในบทสวดมนต์ของน้อง เพื่อช่วยชาวโลกให้พ้นจากทุกข์ภัย สู่บรมสุขแห่งนิพพานด้วยกัน"
พระ เจ้าเมี่ยวจวงได้ฟังก็กริ้วจนสุดระงับ บริภาษว่า "ข้าให้เจ้ามารับใช้เพราะหวังจะให้สำนึกกลับตัวกลับใจเสียใหม่ แต่เจ้ายังกล่าวเท็จถึงความเมตตาจอมปลอมนั่น เจ้าลองคิดดูสิว่าสตรีใดในโลกจะมีสุขเพราะปราศจากบิดาและสามี พุทธธรรมที่เจ้าอ้างนั้นเคยมาช่วยทำสงครามหรือ นับจากนี้ไปเจ้าต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น น้ำสะอาดต้องเต็มเจ็ดตุ่ม ต้องผ่าฟืนวันละสองหาบ ช่วยหุงข้าว ต้มแกง และงานในครัวทั้งปวง ยามว่างก็จงเย็บรองเท้าฟางอย่างประณีต ดูซิว่าจะมีเวลาท่องมนต์อะไรอีกหรือไม่" สิ้นพระบัญชาพระองค์เสด็จจากไปทันที พระธิดาและราชบุตรเขยทั้งสองจึงรีบตามเสด็จไป
จบตอนที่ ๗
ติดตาม ต่อตอนที่ ๘ การรับบทลงโทษที่หนักขึ้น
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^