ตอนที่ ๑๘
ไต้ซือ เมี่ยวซ่านกับมนุษย์ขน และสมาชิกใหม่ร่วมเดินทาง
แต่ แล้วด้านหน้าป้อมก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นอย่างประหลาด คนงานผู้หนึ่งเข้ามารายงานซุนเต๋อ "ท่านหัวหน้าซุนขณะนี้มีภิกษุณีประทับอยู่บนช้างเผือกกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ไม่ทราบว่าใช่ไต้ซือที่ถูกชิงตัวไปหรือไม่ พวกท่านรีบออกไปดูเร็ว" ย่งเหลียนและพระน้านางมองหน้ากันอย่างงงงันเอ่ยว่า "ไม่ใช่นะ ไต้ซือของเราเดินทางด้วยสองเท้าเท่านั้น คงเป็นภิกษุณีจากแดนอื่นเป็นแน่" ซุนเต๋อขบขัน "ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน พวกเรารีบไปดูให้ประจักษ์เถิด" ทั้งสามตามคนงานออกมาดูที่ทางเข้าป้อม ห่างออกไปครึ่งลี้ ได้มีช้างเผือกและนักบวชผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลัง สองภิกษุณีได้แต่ใจระทึกภาวนาให้เป็นไต้ซือของตน
เมื่อ ช้างเผือกเชือกนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ย่งเหลียนกับพระน้านางต่างอุทานด้วยความยินดี "อมิตตาพุทธ นั่นคือไต้ซือของเราจริง ๆ" สองภิกษุณีวิ่งไปรับเมี่ยวซ่านไต้ซือขณะที่ช้างเผือกคุกเข่าให้ไต้ซือลง อย่างง่ายดาย ฝูงชนแห่เข้ามาชมบารมีเสียงอื้ออึงไม่ขาดสาย นายป้อมซุนเต๋อคารวะแล้วเชิญให้เมี่ยวซ่านไต้ซือเข้ามาในป้อมและขอให้เล่า ถึงเหตุการณ์ที่ทรงรอดชีวิตมาได้ "ขอนมัสการไต้ซือผู้เจริญ ในวันนี้ไต้ซือได้แสดงให้พวกเราเห็นถึงพุทธานุภาพอันไพศาล โปรดเล่าเรื่องที่ทรงรอดชีวิตจากมนุษย์ขนมาได้ ให้พวกเราฟังเป็นบทเรียนด้วยเถิด" เมี่ยวซ่านไต้ซือแย้มสรวลอย่างมีพระเมตตาขอบคุณในไมตรีของทุกคนที่ห่วงใย แล้วจึงเล่าเรื่องราวให้ฟังว่า
"...ขณะ ที่เราถูกจับไปนั้น สองมือสองเท้าถูกมัดด้วยเถาวัลย์ แต่แรกพวกมนุษย์ขนนั้นหามเราไป พอเหนื่อยก็ลากเราไปกับพื้นดิน จนถึงถ้ำที่อยู่ของพวกมัน ซึ่งมีลักษณะเป็นลานกว้าง มีต้นไม้ขึ้นโดยรอบ หนาทึบ ไร้ทางหนี พวกมันวางเราไว้กลางลานแล้วเป่าปากทำสัญญาณเรียกฝูง ครู่เดียวพวกมันทั้งหญิงชายเกือบสองร้อยก็กรูกันออกมาจากป่า คนเหล่านี้มีขนรุงรังทั่วตัวเหมือนมนุษย์วานร มีหนังสัตว์นุ่งห่มน้อยชิ้น เพศชายจะใส่ห่วงเหล็กที่จมูก เพศหญิงจะใส่ที่หู พวกมันมองมาที่เราแล้วก็กระโดดโลดเต้นโห่ร้องราวกับบ้าคลั่งเป็นเวลานาน เรารู้ดีว่าคงหมดหนทางรอดในคราวนี้จึงนั่งสมาธิแผ่เมตตารอความตาย
เมื่อ พวกมันหยุดเต้นรำแล้วก็ปรึกษาเสียงฮึมฮัม คล้ายกับว่าจะแบ่งเนื้อเราอย่างไรดี แล้วก็มีมนุษย์ตนหนึ่งเห็นรองเท้าฟางที่เราสวมใส่ จะเข้ามาคว้าไป เราจึงรีบถอดรองเท้าออกทั้งสองข้างแล้วผลักไปให้ไกล ๆ ตัว พวกมันแย่งชิงกัน แล้วตัวหัวหน้าก็ใช้กำลังแย่งไปสวมดู เมื่อลองเดินและกระโดดขึ้นลงมันก็ชอบใจ ส่งเสียงคำรามยินดี พวกที่เหลือต่างชี้นิ้วอยากได้บ้าง พอดีในย่ามของเรามีรองเท้าฟางเช่นนี้หลายคู่ จึงหยิบรองเท้าออกมาวางทีละคู่ ๆ พวกมันมองตามตาเป็นประกายส่งเสียงดีใจโกลาหล ทันใดนั้น พวกที่อยู่ใกล้ก็พากันคว้ารองเท้าไป คนอื่น ๆ ยิ่งดึงยื้อกันใหญ่ รองเท้าฟางเป็นของประดิษฐ์เมื่อถูกยื้อยุดก็ขาดกระจุย มนุษย์ขนต่างฉุนเฉียวที่ถูกทำลายของจึงต่อสู้กันเองอย่างบ้าเลือด
เรา ฉวยโอกาสนี้หลบหนีออกมาทั้งเท้าเปล่า แม้จะถูกหินตำหรือหนามเกี่ยวบ้างก็ถือว่าเล็กน้อย เพราะรองเท้าฟางช่วยรักษาชีวิตเราไว้ได้ เดินทางฝ่าป่าดงมาจนถึงทางแยกจึงลังเลไม่รู้จะไปทางใด พอดีมีช้างเผือกเชือกหนึ่งค่อย ๆ ย่างกรายเข้ามาหา ขณะนั้นเราคิดว่าคงไม่อาจรอดชีวิตได้ในคราวนี้แล้ว จึงยืนนิ่งไม่ไหวติง ช้างเผือกนั้นมาหยุดตรงหน้า ชูงวงขึ้น ก้มหัวลงต่ำ ย่อตัวลงประหนึ่งทำความเคารพ เราจึงแน่ใจว่าช้างนี้ไม่ใช่ศัตรูเป็นแน่ จึงกล่าวกับช้างว่า "เจ้าช้างเอ๋ย... หากเจ้าประสงค์จะช่วยเหลือเราให้พ้นจากอสูรร้ายก็จงชูงวงขึ้นสามครั้ง" ดังช้างจะรู้ภาษาดีจึงชูงวงตามที่เราบอก "ดีจริง เจ้าช่วยเราในคราวนี้หากเราบรรลุผลสำเร็จแล้วจะมาช่วยเจ้าให้เข้าสู่ พุทธจักรสิ้นเวรจากการเป็นเดรัจฉาน..." ทันใดนั้น ฝูงมนุษย์ขนก็ส่งเสียงโห่ร้องดังมาจากแนวป่า ไต้ซือระงับความตระหนกกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า "ช้างเผือกเอ๋ย... เหล่าอสูรตามมาแล้วช่วยเราที"
ช้าง เผือกฟังแล้วก็ใช้งวงม้วนจับตรงเอวของเราชูไว้แล้วเริ่มออกเดิน จากเดินเป็นวิ่งรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ แต่เรารู้สึกนุ่มนวลเหมือนนั่งบนก้อนเมฆ เจ้าช้างวิ่งมาตลอดสามสิบลี้ จึงค่อย ๆ เดินอีกพักหนึ่ง เมื่อพ้นเขตเขาจินหลุนแล้วจึงวางเราลงกับพื้น เมื่อปัดฝุ่นตามเนื้อตัวออกหมดแล้วเราจึงกล่าวขอบคุณเจ้าช้างและสัญญาว่าจะ มาโปรดให้พ้นทุกข์อย่างแน่นอน แต่เจ้าช้างก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเข้าป่า กลับหมอบคู้อยู่ข้าง ๆ เรา แม้ว่าเราจะเดินไปทางไหน ช้างก็ติดตามเราไปทุกทิศ เมื่อเราถามว่า ถ้าต้องการไปยังเขาซีมี่ซานด้วยจงผงกหัวสามครั้ง ช้างก็ผงกหัวครบสามครั้งจริง ๆ ทั้งยังชูงวงรัดเราขึ้นไปนั่งบนหลังและออกเดินทางมายังป้อมไซซือดังที่พวก ท่านเห็นอยู่ขณะนี้..."
ทุกคนเมื่อได้ฟังแล้วต่างพึมพำถึงพุทธบารมี ของเมี่ยวซ่านไต้ซือกันไม่ขาดปาก ซุนเต๋อกล่าวว่า "ความลำบากที่พวกท่านผ่านมาได้อย่างไม่ย่อท้อ ข้าน้อยเชื่อว่าวันหน้าท่านจะต้องสำเร็จมรรคผลเป็นแน่ แต่จากนี้ขอให้ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่สัก ๒ - ๓ วันก่อน ข้าน้อยจะได้เตรียมการให้ผู้คนสานรองเท้าฟางให้ทันการ เมี่ยวซ่านไต้ซือขอบคุณและกล่าวว่า "ประสกซุนอย่างลำบากเลย เพียงให้อาหารและที่พักก็เพียงพอแล้ว พุทธบัญญัติกำหนดไว้ว่าภิกษุผู้เดินทางจะยอมรับเพียงเรื่องกิน ดื่ม และที่อาศัยเท่านั้น นอกจากนี้รองเท้าฟางที่เราสานตั้งแต่ครั้งอยู่ในวัง ได้ช่วยชีวิตเราถือว่ามีบุญคุณจึงไม่ควรที่จะสวมเหมือนข่มเหงมันอีก ขอประสกโปรดเข้าใจ" ท่านซุนเห็นความตั้งใจจริงไม่เหยียดหยามแม้แต่รองเท้าฟางไร้ชีวิต จึงทวีความนับถือไต้ซือยิ่งขึ้นไปอีก
จบตอนที่ ๑๘
ติดตามต่อตอน ที่ ๑๙ พบกองคาราวาน และกรรมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลลู่
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^