ตอนที่ ๒๓
พบฝูง ลิงจอมเลียนแบบ การเผชิญความหนาวเหน็บ
ทันใดนั้นได้มีฝูงลิงกว่าห้าสิบตัวกระโดดเข้ามาหาเหล่านัก บวช ชูไม้ชูมือล้อเลียน ขว้างหินลงน้ำแล้วปาหินใส่นักบวชทั้งสาม เมื่อถูกตัวคนก็กระโดดโลดเต้น กรีดร้องอย่างชอบใจ ย่งเหลียนรู้ทันทีว่าก้อนหินที่ลอยมาโดนศีรษะเธอนั้นเป็นฝีมือของเจ้าลิงพวก นี้ เธอและพระน้านางจะวิ่งหนีแต่ไต้ซือห้ามไว้พลางว่า "ลิงพวกนี้กระทำเลียนแบบพวกเราที่ปาหินลงน้ำ แต่กลับนำมาปาคนแทน ถ้าพวกเราวิ่งหนีพวกมันต้องวิ่งไล่ตามอย่างแน่นอน และเราคงไม่มีทางหนีพ้นความว่องไวของพวกมัน ดังนั้น ทุกคนจงพนมมือ เดินไปตามทาง ก้าวครบสามก้าวก็ก้มลงกราบหนึ่งครั้ง พวกลิงย่อมเลียนแบบเรา และไม่ทำอันตรายใด ๆ" พระน้านางและย่งเหลียนจึงทำตามที่ไต้ซือกล่าว
(หมายเหตุ: การเดินสามก้าวคุกเข่าลงไหว้ครั้งหนึ่งนี้เป็นกลอุบายที่จะหลบเลี่ยงพวกลิง ที่ไต้ซือเมี่ยวส้านคิดขึ้น ต่อมาภายหลังคนที่นับถือพุทธศาสนาก็ยึดเอาเป็นแนวทางที่ต้องทำ ไม่ว่จะขึ้นเขาลูกไหนก็จะเดินสามก้าวไหว้หนึ่งครั้งจนกว่าจะถึงยอดเขาตำนาน เกิดจากตอนนี้เอง)
เพราะความรักสนุกโดยสัญชาตญาณ อุบายครั้งนี้พวกลิงจึงหลงกลอย่างง่ายดาย ทั้งมนุษย์และฝูงลิงเดินสามก้าวก้มกราบทีหนึ่ง ขึ้นเขาอย่างไม่ย่อท้อมาหลายลี้จนถึงบนเขา ฝูงลิงก็ยังติดตามกลุ่มนักบวชไม่ลดละเช่นกัน เพียงแต่ไม่ทำอันตรายผู้ใดอีก พลันก็มีลมพัดกรรโชกวูบใหญ่พาดผ่าน เงาดำทมึนของสัตว์ปีกทาบลงมาจากท้องฟ้า เมื่อมองขึ้นไปทุกคนก็ได้พบกับอินทรีย์ยักษ์ สยายปีกบินร่อนอยู่เหนือเหยื่ออันโอชะอย่างจดจ่อ ฝูงลิงรู้ได้ทันทีถึงชะตากรรมระหว่างเหยื่อกับผู้ล่า
แต่ ฝูงลิงก็ไม่หลบหนี แยกเขี้ยวข่มขู่นกยักษ์เสียงก้องป่า นกอินทรีย์ยักษ์หาได้เกรงกลัวไม่ กลับบินโฉบลิงได้ตัวหนึ่ง แรงจิกและพลังของกรงเล็บทำให้ลิงนั้นดิ้นรนต่อสู้ได้เพียงชั่วขณะก็สิ้นใจ ตายคากรงเล็บแหลมคม จากนั้นเจ้านกยักษ์ปล่อยลิงให้ตกลงกระแทกพื้นแล้วลงมาจิกกินมันสมองของลิง โชคร้ายนั้นอย่างเมามัน ลิงป่าตัวอื่นเห็นชะตากรรมของเพื่อนร่วมฝูงแล้วก็หวาดกลัววิ่งหนีกระเจิด กระเจิง ส่งเสียงเจี๊ยกจ๊าก กลับเข้าแนวป่าไป คณะของไต้ซือเห็นพวกลิงแล้วก็ได้แต่เวทนากลับมาเดินตามปกติ พร้อมกับสวดแผ่เมตตาให้ลิงเคราะห์ร้ายแทน
ยิ่ง เดินทางขึ้นเขาสูงทัศนียภาพก็เริ่มเปลี่ยนไป หิมะจับตัวหนาบนทางเดิน ผลไม้ก็ไม่มีกิน พืชชนิดเดียวในขณะนี้คือต้นสนที่มีหิมะเกาะพราว ลมหนาวพัดบาดผิวจนแสบเหลือทน ใบหน้าตึงร้าวคล้ายถูกใบมีดกรีดเป็นริ้ว ๆ ย่งเหลียนและพระน้านางแสนทุกข์ทรมานจากพิษความหนาว คงมีแต่เมี่ยวซ่านไต้ซือเท่านั้นที่มุ่งมั่นอยู่กับการเดินทาง แม้สองเท้าจะเปลือยเปล่าท่านก็ไม่ปริปากบ่น ตกค่ำจึงพบผลไม้ที่กินได้ ย่งเหลียนเก็บมาถวายไต้ซือและพระน้านางได้ฉันจนอิ่มจึงหาถ้ำเข้าอาศัยพักแรม อากาศยามค่ำยิ่งหนาวจนปวดกระดูก ย่งเหลียนคิดจะหาฟืนมาก่อไฟไล่ความหนาว แต่ไต้ซือรีบห้ามไว้เพราะเกรงว่าความอบอุ่นจะพาสัตว์ป่าเข้ามาหาและอาจเกิด อันตรายได้
ไต้ ซือแสดงธรรมว่า "จงอย่าลืมว่าขณะนี้พวกเรากำลังแสวงหาธรรมอันวิเศษ จำเป็นต้องมีจิตใจซื่อตรง แน่วแน่ด้วยสติสัมปชัญญะอันสมบูรณ์ แม้ร่างกายต้อนทนทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหย ความร้อน หรือความหนาวเหน็บ อันถือเป็นความทุกข์เพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับความลำบากที่เราผ่านมาแล้วไม่ น้อย พึงระลึกไว้ว่าความลำบากนั้น ๆ จะหล่อหลอมจิตให้แข็งแกร่งรวมเป็นหนึ่งโดยไม่แตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วการบรรลุธรรมอันวิเศษก็จะอยู่แค่เอื้อม และความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านความล้มเหลวมาก่อน" พระน้านางและย่งเหลียนฟังธรรมข้อนี้แล้วต่างรู้สึกเกิดปัญญาสว่างไสวขึ้นใน ใจ ความหนาวเย็นใด ๆ จึงไม่อาจต้านทานความมุ่งมั่นแห่งฌานสมาธิของไต้ซือและศิษย์ทั้งสองได้อีก ต่อไป
จบตอนที่ ๒๓
ติดตามต่อตอนที่ ๒๔ สู่ยอดเขา พบเทพชี้ทาง
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^