ตอนที่ ๑๙
พบกอง คาราวาน และกรรมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลลู่
เช้า วันรุ่งขึ้น หลังจากฉันอาหารเจที่ท่านซุนถวายแล้ว คณะเดินทางจึงลาจากไป โดยท่านซุนตามมาส่งจนสุดเขตป้อมไซซือ ภิกษุณีทั้งสามกล่าวลาอย่างซาบซึ้งในความการุณของซุนเต๋อ ไต้ซือขึ้นหลังช้างเผือกมีพระน้านางและย่งเหลียนนั่งขนาบซ้ายขวามุ่งหน้า ขึ้นเหนือ สองข้างทางเป็นทะเลทรายร้อนระอุ แต่ทั้งสามมีช้างเป็นพาหนะจึงทุเลาความเหน็ดเหนื่อยได้อย่างดี ย่งเหลียนนั้นกังวลว่ายามค่ำคืนจะพักแรมที่ใดเท่านั้น ไต้ซือต้องปลอบไม่ให้วิตกไปก่อน เพราะทางทั่วหล้าย่อมต้องพักแรมได้
ครั้นพระ อาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ทั้งสามก็ได้พบกับคาราวานเลี้ยงสัตว์ร่อนเร่ กำลังปลูกกระโจมพักแรม ทั้งสามลงจากหลังช้างและเข้าไปซักถามกับหัวหน้าเผ่าจนทราบว่าชนเผ่านี้มีนาม ว่า เผ่าเจียลา มีอาชีพเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ต่างยินดีที่นักบวชมาขอพักแรมด้วย จึงจัดกระโจมที่พักและน้ำดื่มเหยือกใหญ่ให้เรียบร้อย หัวหน้าเผ่าได้นำเนื้อวัวอันโอชะมาถวายด้วยน้ำใจสูงสุด เมี่ยวซ่านไต้ซือต้องปฏิเสธอย่างอ่อนน้อมว่า "ผู้ทรงศีลย่อมไม่ฉันเนื้อ สัตว์ใด ๆ" ต้องอธิบายอยู่นานกว่าหัวหน้าเผ่าจะเข้าใจ เหล่าภิกษุณีจึงฉันเฉพาะข้าวตากที่เป็นเสบียงติดตัวมา โดยมีน้ำเปล่าดื่มแก้ฝืดคอ จากนั้นทั้งสามต่างเข้าฌานสมาธิปฏิบัติกรรมฐานอย่างสงบ ครั้นรุ่งเช้าจึงอำลาเผ่าเจียลาไปยังทิศตรงกันข้ามตามจุดหมายที่ต่างกัน
ช้าง เผือกพาภิกษุณีทั้งสามมุ่งหน้าไปทางเหนือโดยไม่หยุดพัก หลายสิบลี้ต่อมาก็พ้นเขตทะเลทราย ทางเบื้องหน้ามีภูเขาสูงขวางอยู่ ฟ้าก็ใกล้มืดสนิท จึงยากแก่การเดินทางข้ามเขา ในที่สุดก็พบหมู่บ้านริมเชิงเขา ช้างเผือกพาตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ท่าทางมีฐานะที่สุดในหมู่บ้าน ทั้งสามลงจากหลังช้างซึ่งมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านก็ได้พบชายชราวัย ๗๐ เศษนั่งอยู่ตามลำพังสีหน้ามีความวิตกกังวลอย่างที่สุด ย่งเหลียนคำนับแล้วเอ่ยถามว่า "ท่านผู้เฒ่ากำลังวิตกถึงสิ่งใดอยู่หรือ" ท่านผู้เฒ่าอยู่ในภวังค์ครั้นได้ยินเสียงก็สะดุ้งเฮือก "พวกท่านเป็นใคร มาที่นี่ทำไม" ไต้ซือจึงกล่าวขอพักแรมดังเช่นทุกครั้งแต่ผู้เฒ่าปฏิเสธอย่างอ่อนใจ ไต้ซือสงสัยยิ่งนักจึงถามว่า "เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น" ผู้เฒ่ายอมเล่าความให้ฟังอย่างระบายความอัดอั้นว่า
"...ท่าน ลู่เวี๋ยนเว่ย เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ เดิมทีท่านลู่เป็นคนมีศีลสัตย์ยึดถือความดี ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากมาเป็นสิบ ๆ ปี ฟ้าจึงบันดาลให้คุณชายน้อยมาเกิดเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง ทารกน้อยมีอาการท้องเสียรุนแรง ไม่ว่าหมอกี่คน ๆ ก็รักษาไม่หาย หมอทุกคนบอกตรงกันว่าเป็นเพราะม้ามอ่อนแอ จึงไม่รับยาที่รักษา ไม่ว่าจะป้อนไปเท่าไหร่อาการก็ไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องใช้ข้าวเหนียวสามถ้วยชามาเคี่ยวให้กินแทนยา
ความจริง น่าจะรักษาคุณหนูได้นานแล้ว แต่เป็นเพราะหมู่บ้านเราไม่มีข้าวเหนียว ต้องข้ามไปเมืองหลิวสี โดยใช้เส้นทางป่าเทียนม่าเผิง และข้ามแม่ น้ำปี่จี ไปไกลร้อยลี้ และที่สำคัญป่าเทียนม่าเผิงนี้มีเสือร้ายคอยดักจับผู้คนเป็นอาหารมานานนับปี แล้ว หมู่บ้านเราจึงเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ทารกน้อยก็อาการทรุดลงทุกวัน ท่านลู่เองก็ไม่กินข้าวกินปลาจะตายตามลูกไปเสียให้ได้ เหตุการณ์เช่นนี้แล้วใครจะมีแก่ใจต้อนรับนักบวชอยู่อีกเล่า..." เมี่ยวซ่านไต้ซือฟังแล้วอุทานด้วยความยินดี "ดีจริง ๆ พระธรรมบันดาลให้เราผ่านมาทางนี้โดยแท้ ท่านผู้อาวุโสโปรดรับข้าวเหนียวที่อยู่ในย่ามนี้เถิด อย่าว่าแต่สามถ้วยชาเลย มากกว่านั้นเราก็ให้ได้"
ผู้เฒ่าฟังแล้วก็ ยินดียิ่ง "ท่านคงไม่หลอกเราเพราะต้องการที่พักหรอกนะ" ย่งเหลียนชักจะโมโหกล่าวว่า "ไต้ซือผู้เมตตาไม่กระทำการไร้เหตุผลเช่นนั้นหรอก" ผู้เฒ่าดีใจยิ่งวิ่งเข้าบ้านตะโกนเสียงดังลั่น "ท่านลู่ ๆ คุณหนูรอดตายแล้ว มีคนนำข้าวเหนียวมาแล้ว โชคดีจริง ๆ" ขณะนั้นลู่เวี๋ยนเว่ยกำลังเป็นทุกข์สาหัสอยู่ในบ้าน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อยากปักใจเชื่อจึงว่า "ลู่เอ้อ ท่านฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ ค่อย ๆ พูดมาสิ" เมื่อผู้เฒ่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว ท่านลู่ยินดียิ่งรีบออกมาต้อนรับไต้ซือทั้งสามทันที ไต้ซือเมี่ยวซ่านจึงกล่าวว่า "เราทราบจากผู้เฒ่าว่าทารกน้อยต้องการใช้ข้าวเหนียวเป็นยา ขณะนี้เรามีข้าวเหนียวอยู่จำนวนหนึ่งขอท่านจงรับไว้ด้วยเถิด" ท่านลู่ฟังแล้วรู้สึกมีหวังขึ้นมาทันที
ก่อน รับไปไต้ซือกล่าวว่า "ข้าวนี้ควรต้มโดยไม่ต้องล้าง แร่ธาตุจะได้ไม่ถูกชะล้างออกไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะต้มควรใช้ไฟอ่อน ๆ อย่าใจร้อน จึงจะได้ข้าวที่พอเหมาะ" ท่านลู่สั่งกับแม่ครัวตามคำชี้แนะของไต้ซือแล้ว จึงไปตามหมอมารักษาอาการของบุตรด้วยตัวยาต่อ
แม่ครัวนั้นต้มข้าวด้วย ไฟอ่อน ๆ ถึงครึ่งชั่วยามจึงได้ที่ แล้วนำไปให้ทารกน้อยกิน ทารกนั้นนอนหายใจรวยรินอย่างน่าสงสาร แม่ครัวป้อนข้าวต้มแล้วจึงให้ทารกนอนต่อ ส่วนตนกลับมาล้างทำความสะอาดครัวตามปกติ ทว่าเมื่อกลับมาดูแลทารกอีกครั้ง ก็พบว่า ทารกนั้นตัวเย็นเฉียบไม่มีสีเลือด เธอก็ร้องไห้โฮดังลั่นบ้าน พอดีกับท่านลู่พาหมอมาถึงบ้านพอดีเมื่อได้ยินว่าทารกตัวเย็นเหมือนคนตายแล้ว ก็รีบไปดูอาการทันที
หมอ เข้าตรวจชีพจรของทารกแล้วหันมาแจ้งแก่ท่านลู่ว่า "ยินดีด้วยท่านลู่ บุตรชายของท่านจะหายดีในอีกไม่ช้า เพราะน้ำข้าวไปประสานกับเลือดลมตัวจึงเย็นคล้ายคนตาย แต่อีกสักครู่ตัวคุณชายน้อยก็จะอุ่นและหายใจคล่องเหมือนคนปกติ" ทุกคนฟังแล้วจึงถอนใจอย่างโล่งอก หันไปขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณไต้ซือเมี่ยวซ่านตาม ๆ กัน ส่วนไต้ซือเองนั้นรู้สึกยินดีที่หนูน้อยปลอดภัย จึงหันมากล่าวกับท่านลู่ว่า "พื้นที่ว่างในหมู่บ้านของท่านนับว่ามีความอุดมสมบูรณ์ น่าเสียดายหากจะทิ้งร้างไว้ เราจะมอบข้าวเปลือกทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้าหลายชั่งไว้ให้ประสกทำพันธุ์ เพาะปลูก ลู่เวี๋ยนเว่ยและคนในบ้านรีบคารวะไต้ซือด้วยความยินดี
เช้า วันรุ่งขึ้นอาการท้องร่วงของทารกน้อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง คนในบ้านตระกูลลู่ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเฉพาะท่านลู่เจ้าบ้านใหญ่ ขณะที่คณะเดินทางของท่านไต้ซือกำลังอำลาเพื่อออกเดินทางต่อนั้น ท่านลู่ได้ชี้แจงว่า "หนทางในป่าเทียนม่าเผิงนั้นเต็มไปด้วยพยัคฆ์ร้ายสี่ตัว คงเป็นการยากที่ภิกษุณีผู้อ่อนแอจะฝ่าฟันอันตรายไปได้ ดังนั้นผู้น้อยจึงว่าจ้างชายฉกรรจ์และพรานป่าสามสิบสองคน มีอาวุธครบมือคอยติดตามคุ้มภัยจากเสือร้าย ขอไต้ซือจงอย่าปฏิเสธความหวังดีและต้องการตอบแทนบุญคุณของข้าผู้น้อยเลย" ไต้ซือมิอาจขัดได้ จึงตอบตกลงและอำลาท่านลู่ขึ้นหลังช้างเผือกพร้อมสองผู้ติดตาม และเหล่าผู้คุ้มครอง ออกเดินทางสู่ป่าเทียนม่าเผิง โดยท่านลู่และเหล่าชาวบ้านตามมาส่งจนสุดเขตหมู่บ้าน
จบตอนที่ ๑๙
ติดตาม ต่อตอนที่ ๒๐ การเผชิญหน้ากับสี่พยัคฆ์ร้ายแห่งป่าเทียนม่าเผิง
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^