ตอนที่ ๒๑
ภัย ร้ายครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา
บัด นี้เหลือแต่เมี่ยวซ่านไต้ซือและสองภิกษุณีบนหลังช้าง เดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก ผ่านป่าเขาที่มีทิวทัศน์แปลกตา ผ่านหมู่บ้าน ชุมชน และเมืองใหญ่ ซึ่งมีผู้คนต้อนรับคณะไต้ซือเป็นอย่างดี ด้วยอาหารเจและที่พำนักสะอาดเงียบสงบ หากวัดจากจุดเริ่มต้นผนวกกับนับระยะการเดินทางของไต้ซือรวมทั้งหมดแล้วถือ ว่ามากกว่าพันลี้ทีเดียว และบัดนี้ยอดเขาละลานตาแห่งเทือกเขาซีมี่ซานก็ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าของผู้ แสวงหาทั้งสามแล้ว กำลังใจ ความเข้มแข็งและความหวังที่ใกล้ริบหรี่ก็ได้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
นัก บวชทุกคนได้พากันเดิน เดิน และเดิน จนถึงจุดหมายยังตีนเขาซีมี่ซานอันตระหง่านเสียดฟ้าดังยากจะไขว่คว้า แต่นั่นก็ไม่สามารถทำลายความบากบั่นในจิตใจของสามนักบวชลงได้
ทั้ง สามหารือกันว่าดอกบัวหิมะต้องอยู่บนยอดใดยอดหนึ่งในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ดสิบ สองลูกนี้ และต้องสุ่มเฉพาะยอดเขาที่สูง ๆ เท่านั้น แม้จะต้องค้นจนทั่วทุกเขาก็ต้องทำ ขณะค้นหาก็ต้องสวดภาวนาขออำนาจบารมีแห่งพระธรรมบันดาลให้บัวหิมะปรากฏขึ้น อยู่ตลอดเวลา ทั้งสามเริ่มต้นที่ภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่กลางเทือกเขาซีมี่ซาน พิจารณาดูแล้วนับว่าเขาลูกนี้มีขนาดสูงจนมองไม่เห็นยอด ทางขึ้นก็ราบเรียบดูไร้ซึ่งอุปสรรค ทั้งสามจึงขึ้นสู่เขาเบื้องหน้าทันที
แต่ ทว่าช้างเผือกพาหนะคู่ใจเกิดหยุดปีนเสียดื้อ ๆ ไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรเจ้าช้างก็ไม่ยอมก้าวขาแม้เพียงน้อย ซึ่งเป็นอาการที่น่าประหลาดยิ่งเพราะก่อนหน้านี้ช้างเผือกไม่เคยดื้อดึง ฝ่าฝืนคำสั่งของไต้ซือเลย แม้ย่งเหลียนและพระน้านางจะให้อาหารหรือปลอบโยนอย่างไรเจ้าช้างก็ยังไม่ขยับ นานเกือบชั่วยาม อาการที่บ่งบอกมีเพียงเสียงถอนใจและครางในลำคอดังจะบอกอะไรบางอย่าง บุคคลจากรั้ววังทั้งสามไม่อาจรู้ได้เลยว่า อาการเหล่านั้น บังเกิดเฉพาะในสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเท่านั้นที่รู้ถึงภัยจากสัตว์ป่าด้วยกัน เอง กลิ่นสาบสางที่โชยมาแตะจมูกเจ้าช้างเตือนว่าภัยครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสยิ่ง กว่าครั้งใดที่ได้พบมา
ไต้ ซือเมี่ยวซ่านค่อย ๆ ปลอบประโลมอย่างอ่อนหวาน อธิบายให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเราทำกำลังจะสำเร็จอยู่แค่เอื้อมแล้วจะมาพังทลาย เสียอย่างนี้ย่อมน่าเสียดาย ชี้แจงเช่นนี้หลายเที่ยวเจ้าช้างก็ส่ายหัวคล้ายกับจะบอกว่ามันไม่ได้เกียจ คร้านหรืออยากฝ่าฝืนคำสั่งแต่มันพูดออกมาไม่ได้เท่านั้น
ในที่สุด ความพยายามของไต้ซือก็เป็นผล ช้างเผือกยอมก้าวเดินต่อไปแม้จะเชื่องช้าเต็มที ห้าสิบลี้ผ่านไปภิกษุณีทั้งสามก็ได้กลิ่นสาบสางฉุนกึกเข้าจมูก ย่งเหลียนทนไม่ไหวต้องบ่นออกมา ไต้ซือเมี่ยวซ่านกล่าวให้วางเฉยในทวารทั้ง ๖ เพราะนักบวชผู้สละโลกจักต้องสงบ สำรวม ทันใดนั้น กลิ่นสาบก็รุนแรงขึ้นสะกดช้างเผือกให้หยุดจังงังดังต้องมนต์
ภิกษุณี ทั้งสามลงจากหลังช้างอย่างแปลกใจ พร้อมกันนั้นป่าไม้รอบด้านก็สะเทือนด้วยแรงมหาศาลของสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนตัว อยู่ในแนวป่า ลมพัดกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจและฝุ่งผงคลุ้งจนแทบลืมตาไม่ได้ แล้วเงาของสัตว์ร้ายขนาดมหึมาก็พาดผ่าน แสดงความใหญ่โตโอฬารของมันให้คณะเดินทางเห็นเต็มตาและตกใจสุดขีด ภาพที่เห็นนั้นคือพญางูยักษ์ อสูรแห่งป่าลึกดวงตาของมันจ้องเขม็งยังเจ้าช้างเผือก อ้าปากขู่อวดเขี้ยวพิษขาววับทั้งคู่ ขนาดของปากมันไม่ผิดอะไรกับปากถ้ำแห่งมรณะ ลิ้นสองแฉกยาวใหญ่เท่าดาบเพชฌฆาต เกล็ดเป็นลายเล็ก ๆ ทั่วตัวน่าขยะแขยงยิ่งนัก ขนาดลำตัวใหญ่เกือบเท่าต้นไม้อายุร้อยปี ส่วนความยาวนั้นไม่รู้ว่าเท่าไหร่เพราะมันโผล่มาเฉพาะช่วงบนถึงกลางลำตัว ส่วนปลายของมันซ่อนอยู่หลังแนวป่า
ไต้ ซือรวบรวมสติร้องเตือนให้ทุกคนวิ่งหนี ทั้งสามต่างพากันวิ่งหนีเข้าไปในชายป่าด้านข้าง ส่วนเจ้าช้างนั้นเกร็งจนก้าวขาไม่ออก ยืนโงนเงนและล้มลง พญางูยักษ์จึงอ้าปากฝังเขี้ยวลงบนร่างเจ้าช้างผู้น่าสงสารจนถึงแก่ความตาย แล้วจึงอ้าปากกางขากรรไกรขยอกร่างเจ้าช้างกลืนลงท้อง ก่อนพาร่างมโหฬารเลื้อยหายไปหลังมื้ออาหารอันโอชะ ไต้ซือ พระน้านางและย่งเหลียนสัมผัสมรณกรรมของเจ้าช้างเต็มสองตา ต่างนิ่งงันพูดอะไรไม่ออก ด้วยรู้สึกว่าสูญเสียมิตรแท้ในยามยากไปโดยไร้หนทางช่วยเหลือ ทั้งหมดจึงร่วมกันสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้แก่ช้างเผือกผู้ซื่อสัตย์ ขอให้เจ้าช้างไปสู่สุคติด้วยความโศกเศร้า
จบตอนที่ ๒๑
ติดตามต่อ ตอนที่ ๒๒ มารในนิมิตร และเผชิญหน้าหมีขาว
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^