ตอนที่ ๑๔
พระ ธิดาเมี่ยวซ่านออกบวช
เช้า วันรุ่งขึ้นอันเป็น วันที่ ๑๙ เดือน ๙ พระธิดาเมี่ยวซ่านพร้อมด้วยพระน้านางและนางกำนัลย่งเหลียนได้เข้ามาสู่พระ ราชฐานเพื่ออำลาพระเจาเมี่ยวจวง แต่พระธิดาเมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนกล่าวว่า พระบิดาให้คารวะเพียงด้านนอก พระธิดาเมี่ยวซ่านจึงก้มคำนับเก้าครั้ง และหันมาคารวะพระพี่นางด้วยบรรยากาศโศกเศร้า เพราะครั้งนี้นับเป็นการแยกจากกันสู่โลกแห่งธรรมเสมือนทางคู่ขนานที่ไม่มี วันบรรจบกัน
จากนั้นขบวนพระธิดาเมี่ยวซ่านจึงได้ออกเดินทางสู่วัดจินกวงหมิงอันห่างไกล ท่ามกลางเสียงฆ้อง กลองมโหรี และเสียงแซ่ซ้องสาธยายมนต์ของเหล่าชาวเมืองที่คอยส่งเสด็จทั้งสองข้างทาง
ขบวนเสด็จครั้งนี้มีขุนพลเจียเยี้ยเป็นผู้นำทางพร้อมเหล่าทหารราชองครักษ์สามร้อยนายคอยคุ้มกัน ฝูงชนที่มารอส่งเสด็จนั้นนำดอกไม้นานาพันธุ์มาถวายพระธิดา บ้างก็ไชโยโห่ร้องกระโดดโลดเต้น โปรยข้าวตอกดอกไม้สู่หนทางที่ราชรถเคลื่อนผ่าน บรรยากาศโดยรอบจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นไม้ดอกกำจายทั่วทุกอณู ต้นไม้และดอกไม้ที่เคยเหี่ยวเฉาก็กลับยืนต้นงามสะพรั่งอย่างน่าประหลาด หมู่นกและแมลงบินว่อนเบิกบาน แสงทองสาดส่องเป็นประกาย เป็นนิมิตหมายอันดีเกินพรรณนา
และ แล้วก็ถึงเชิงเขาเยี้ยม้อซาน ซึ่งบัดนี้บันไดหินทอดขึ้นไปยังประตูวัดสีทองอร่ามเสมือนสะพานมังกรทอดคดเคี้ยวสู่ประตูสวรรค์กระนั้น พระธิดาเมี่ยวซ่านและสองผู้ติดตามขึ้นสู่บนไดจนถึงพระอุโบสถ สถานที่ประกอบพิธีอันเป็นลานหินอ่อนสีขาวนวล มีบรรดาภิกษุณีผู้ศรัทธาพระธิดาเมี่ยวซ่านขออุทิศตนมาอยู่ที่วัดแห่งนี้กว่า สามสิบรูป ยืนเรียงแถวรอเป็นสักขีพยานการบวชของพระธิดา
โดยรอบยังมีฝูงชนที่แห่แหนมาเฝ้าดูพิธีด้วยความเคารพ ศรัทธา และเลื่อมใสยิ่งเมื่อเห็นพระสิริโฉมงดงามอ่อนหวานดั่งหยกชั้นเลิศทุกคนก็ยิ่งเบียดเสียดเข้ามาหวังชมบารมีอย่างใกล้ชิด
แต่แล้วฝูงชนก็ต้องแยกออกจากกันดั่งระลอกคลื่น เมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงเสด็จเข้ามาในพิธีพร้อมเหล่าขุนนางในราชสำนัก เจ้าพนักงานพิธีประกาศว่าถึงเวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว พระองค์ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปและเทวดาฟ้าดิน จากนั้นพระธิดาเมี่ยวซ่านก้มถวายบังคมพระบิดา พระเจ้าเมี่ยวจวงตรัสว่า "ลูกเอ๋ย อีกชั่วครู่เราก็จะอยู่กันคนละเส้นทาง ซึ่งทางของลูกนั้นเป็นหนทางที่พ่อเองไม่รู้จักและไม่เข้าใจ พ่อขอให้เจ้าสำเร็จผลในการปฏิบัติธรรมเป็นที่เคารพกราบไหว้ของชาวโลก ประกาศธรรมะให้แผ่ไพศาล พ่อจะทำหน้าที่ของพ่อเป็นครั้งสุดท้ายนั่นคือ ปลงผมให้แก่เจ้า ณ บัดนี้" พระธิดาเมี่ยวซ่านและผู้ร่วมในพิธีต่างฟังพระดำรัสด้วยความปลื่นปีติ
พระ ธิดาเมี่ยวซ่านคุกเข่าลงให้พระเจ้าเมี่ยวจวงปลงพระเกศา ซึ่งพระองค์ทรงกระทำด้วยความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียลูกสุดที่รักไป น้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์อย่างสุดกลั้น พระภิกษุณีที่อยู่ใกล้จึงรีบถวายพานมารับพระขรรค์ทองก่อนที่จะหลุดจากพระหัตถ์ของกษัตริย์ชรา
จากนั้นพระภิกษุณีอาวุโสจึงมาทำหน้าที่ปลงพระ เกศาต่อ ชั่วครู่พระธิดาผู้มีพระเกศาดำมันขลับยาวสลวย ก็กลายเป็นภิกษุณีที่ศีรษะปราศจากเส้นพระเกศา
พระเจ้าเมี่ยวจวงถวายผ้ากาสาวพัสตร์ หมวก และรองเท้าให้ด้วยพระองค์เอง พระธิดากราบคารวะพระบิดาและภิกษุณีอาวุโสแล้ว เป็นอันเสร็จพิธี บัดนี้พระธิดาเมี่ยวซ่านได้ละจากทางโลกก้าวเข้าสู่หนทางแห่งพุทธธรรมอย่าง เต็มองค์ ในพระนาม เมี่ยวซ่านไต้ซือ
ครั้นเสร็จสิ้นพิธีการ พระเจ้าเมี่ยวจวงก็เสด็จกลับ ฝูงชนทั้งน้อยใหญ่ต่างทยอยกลับบ้าง ภายในวัดจึงกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยอีกครั้ง ในการนี้มีภิกษุณีบวชใหม่อีกสองรูป คือ ภิกษุณีพระน้านางและภิกษุณีย่งเหลียน สองนางผู้เลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาและความเด็ดเดี่ยวของเมี่ยวซ่านไต้ซือ จึงขอปวารณาตนรับใช้เสมือนยามอยู่ในวัง
จบตอนที่ ๑๔
ติดตามต่อตอน ที่ ๑๕ การปฏิบัติกิจของไต้ซือเมี่ยวซ่าน และภาพนิมิตในสมาธิ
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^