ตอนที่ ๓๒ (ตอนจบ)
พระ โพธิสัตว์กวนอิมพาท่องพรหมโลก และแดนนิรวาณ (นิพพาน) พบองค์อมิตตาพุทธเจ้า
"...ทาง ที่ถูกต้องสำหรับเทวะในชั้นฟ้านี้ คือ ปีนป่ายสู่ภูมิที่เหนือขึ้นไป แม้หนทางจะอันตรายยิ่งนัก ทั้งต้องฝ่าฟันป่าแห่งความหลง บึงแห่งความโลภ ผาสูงแห่งความโกรธพยาบาท จนกว่าจะถึงแดนนิรวาณ ซึ่งเป็นที่สถิตแห่งพระโพธิสัตว์อันรอการจุติยังพิภพโลกเพื่อตรัสรู้เป็นพระ พุทธองค์ ฉายแสงความรักความเมตตาบริสุทธิ์ไปทั่วพิภพจักรวาล" ทวยเทพบนสวรรค์ได้ฟังเทศนาธรรมของพระกวนอิมแล้วต่างรู้สึกเหมือนมีกระจกส่อง ปัญญาแผ่ซ่านไปทั่ว เปล่งแสงเรือง ๆ ไร้จริตราคะครอบงำดังแต่ก่อน กลายเป็นดวงดาวพวยพุ่งสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปทุกองค์
คณะ เดินทางมาปรากฎร่างในอีกดินแดนหนึ่งซึ่งสาดแสงสว่างจ้าจนแทบลืมตาไม่ขึ้น ทั้งหมดต่างรับรู้ทางจิตว่าภพแห่งนี้คือ พรหมโลก มีองค์ท้าวมหาพรหมและพรหมเทพรายล้อม ทุกองค์มีแสงเรืองอยู่ในตัว มีความงามอันหาเปรียบไม่ได้ในเมืองมนุษย์ ทัศนียภาพโดยรอบงดงามอย่างน่าพิศวง พระเจ้าเมี่ยวจวงรำพึงว่า "เราสำนึกผิดในความโหดร้ายทารุณอันอาบด้วยโลหิตของผู้บริสุทธิ์ที่เราเคยก่อ กรรมเอาไว้แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายใจนัก ทำอย่างไรจึงจะได้เข้าสู่เขตแดนอันรุ่งเรืองและบริสุทธิ์นี้หรือ"
พระ กวนอิมกล่าวว่า "เมื่อได้เสวยผลบุญในดินแดนสวรรค์ที่ผ่านมา และรู้แจ้งในความหลงอันลวงตา ประกอบกิจโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จะได้บรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ นำสรรพสัตว์ผู้รับทุกข์ไปสู่แดนแห่งนิรวาณ มั่นคงในความเที่ยงธรรมดุจเขาพระสุเมรุ มีบุญอันประกอบด้วยเมตตากรุณา ปราศจากอริใด ๆ พวกท่านก็จักได้เข้าสู่อาณาจักรสูงสุดแห่งจักรวาลเช่นนี้" ทันใดนั้น ทุกคนก็ได้เห็นแสงสว่างแพรวพราวนำทุกคนลอยลิ่วขึ้นสู่หอมณีเพชรัตน์สูงขึ้น ไปหลายอึดใจเผยให้เห็นหมู่เมฆ ดอกไม้สวรรค์แผ่ไพศาลสุดสายตา เบื้องหน้าปรากฏแสงสว่างเรืองรองพร้อมพระวรกายขององค์อมิตตาพุทธเจ้าประทับ บนแท่นปัทมอาสน์ สูงจนเหลือคณานับ พร้อมพระโพธิสัตว์บริวารรายล้อมลดหลั่นลงไปตามผลบุญ
พระ อมิตตาทรงเปล่งสุรเสียงแสดงธรรมกะหึ่มฟ้าว่า "เราจักแสดงธรรมเพื่อนำทางให้สรรพสัตว์ชนะมูลเหตุแห่งความพินาศทั้งปวง การกระทำแลดิ้นรนในกรรมต่าง ๆ ฉันใด เป็นเหตุย่อมเกิดผลตามมาในสัตว์ทุกผู้ทุกนาม ทว่าพระธรรมนี้เปรียบเสมือนมณีรัตน์ซึ่งฝังอยู่กลางโลก ไม่มีผู้ใดเห็นด้วยตาเนื้อจนกว่าจะเพียรแสวงหา และนำตนไปสู่โพธิญาณ หลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่แดนนิรวาณบรมสุข อันหาที่สุดมิได้"
ครั้น แล้วคนเหล่านั้นก็บังเกิดความรู้แจ้งพ้นจากกิเลสและความหลง ตั้งจิตเป็นสมาธิเผาราคีที่ติดตัวมาจากโลกมนุษย์จนหมดสิ้น ปรากฏรูปใหม่เป็นกายอันเรืองรองบรรลุแล้วซึ่งความสุข
พระ พุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ละมุนละไมตรัสว่า "นับจากนี้ให้เมี่ยวซ่านผู้ประกอบด้วยมหาการุณย์ ดับทุกข์แก่ชาวโลก ให้มีฉายาว่า พระอวโลกิเตศวร หมายถึง ผู้ได้ยินเสียงร้องปริเวทนา แห่งสัตว์โลก เป็นเทวีศักดิ์สิทธิ์แห่งเกาะทะเลใต้ เมี่ยวอิมและเมี่ยวเวี๋ยนพระพี่นางของเจ้าได้ชำระด้วยไฟแห่งสมาธิเข้าสู่ทาง อันสมบูรณ์ให้มีฉายาว่า พระโพธิสัตว์ผู้บริสุทธิ์งามพร้อม และ พระ โพธิสัตว์ผู้รุ่งเรืองปราศจากมลทิน ส่วนจักรพรรดิเมี่ยวจวงได้สละความหยิ่งทะนงฝ่าฟันอันตรายด้วยตบะ อดทน และสำนึกบาปที่ทำไว้ขอให้เป็น โพธิสัตว์ผู้ทรงชนะแล้ว ทำหน้าที่สำรวจหมู่ชนตามลักษณะความหาญกล้าของท่าน และพระนางเป้าเต๋อมารดาของพระกวนอิม จงได้รับแต่งตั้งเป็น พระโพธิสัตว์ ทรงความดี ทำหน้าที่สำรวจสตรีที่ลือชื่อด้วยเกียรติแห่งความภักดีเช่นเดียวกับตัวท่าน เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์"
ทั้งหมด ได้เสวยสุขในแดนนิรวาณนานชั่วกัลป์ ยกเว้นพระโพธิสัตว์กวนอิมผู้ทรงการุณย์ เพราะทรงไม่ยอมเข้าสู่แดนนิรวาณเช่นคนอื่น ยังคงประทับอยู่ ณ เกาะศักดิ์สิทธิ์ คอยสดับเสียงร่ำร้องของสัตว์โลกแม้อยู่แสนไกล เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้รอดพ้นจากความทุกข์ทน ปรากฏพระเมตตาธิคุณแผ่ไพศาล โปรยปรายความสุขสบายแก่สกลจักรวาลด้วยความรักและเมตตา ประหนึ่งทรงโปรยสายน้ำค้างจากกิ่งหลิวในแจกันทิพย์สู่ผืนดินที่แห้งผาก ให้จิตใจอันหยาบช้าด้วยไฟราคะของมนุษย์ชุ่มชื้นขึ้นด้วยแสงแห่งธรรม เรืองรองสู่หนทางอันประเสริฐตราบนิรันดร์
จบตอนที่ ๓๒ (ตอนจบ)
โปรด ติดตามต่อ ภาคหลัง อภินิหารพระโพธิสัตว์กวนอิม เรื่อง "กวนอิมตะกร้าปลา"
ขอขอบพระคุณ : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=beee
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ขอบพระคุณทุกๆท่านที่แวะมาเยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นนะคะ ^^